“ทุกวันนี้คนเราใช้แค่ 10% ของศักยภาพที่เรามีเท่านั้น” บางครั้งถ้าเรารู้สึกแย่ ท้อถอย ไร้ซึ่งไอเดีย หรือคิดว่าเราทำอะไรก็ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เพราะเราไม่ดีหรือไม่เก่งแต่มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้วิธีการที่จะดึงศักยภาพอีก 90% ที่มีอยู่ในตัวเรามาใช้ต่างหาก และที่สำคัญไม่มีใครมาสอนเราได้ด้วยว่าเราจะดึงศักยภาพเหล่านั้นมาใช้ได้ยังไง เพราะคนที่รู้จักตัวเรามากที่สุดนั่นก็คือตัวเราเอง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องฝึกตัวเองเป็น ต้องรู้วิธีการทำจะนำศักยภาพอีก 90% ของเราออกมาใช้ให้ได้ และเมื่อนั้นการบรรลุเป้าหมายของเราก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเลย
เราเชื่อว่าผู้อ่านคงเคยสงสัยกันอยู่บ่อยครั้งว่า เพราะอะไร..คนธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะได้คำตอบที่ (คิดเอง) หรือ (คนอื่นบอก) ว่าเพราะคนเหล่านั้นเป็นคนเก่ง แต่จริงๆ แล้ว คนเราทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัวเท่ากันหมด แต่คนที่บรรลุเป้าหมายได้คือคนที่ดึงศักยภาพตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่ต่างหาก
และสำหรับในส่วนบทความของเรา เรื่องราวดีดีที่จะมาแบ่งปันให้ผู้อ่านได้ฟังกันในวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยดึงศักยภาพที่ถูกซ่อนอยู่ในตัวของเราออกมาด้วยการเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น ด้วย
1. เปิดโลกให้กว้างขึ้นด้วยสมาร์ทโฟน
ทุกวันนี้เราสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อมาช่วยให้เราเรียนรู้ทุกอย่างได้ง่ายขึ้น และมากขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่เราเลือกที่จะเรียนรู้จากสมาร์ทโฟนของเราแทนการนำไปใช้ในทางอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ลองเข้าไปดูรายการของต่างประเทศ สารคดี รูปภาพ เรื่องราวหรือวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศที่เรายังไม่รู้จัก ลองดูการใช้ชีวิตของผู้คนอื่นๆ ที่ห่างไกลจากเราว่าพวกเขาใช้ชีวิตแตกต่างจากเรายังไง ประเทศของเขามีภูมิประเทศแบบไหน มันจะทำให้คุณได้ประสบการณ์ที่มากมายจากการเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของคนที่แตกต่าง และที่สำคัญคุณจะค้นพบวิธีการที่พวกเขาใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง ลองดูสิว่า ผู้คนในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นนั้นมีวิถีชีวิตแบบไหน อะไรที่ทำให้พวกเขาพัฒนา แล้วลองนำวิธีการเหล่านั้นมาปรับใช้เพื่อพัฒนาตัวเราเอง ถ้าคุณลองมองหาให้มากๆ เราเชื่อว่ามันต้องมีสักวิธีหนึ่งที่เข้ากับคุณอย่างแน่นอน
2. ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เสมอไป
การทำแต่สิ่งเดิมๆ อยู่บ่อยครั้งสุดท้ายจะทำให้สมองของเรานั้นไม่ได้พัฒนาศักยภาพเท่าที่ควร เพราะการกระทำเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นความเคยชินไปในที่สุด ดังนั้นเราอาจลองหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง ถ้าเอาแบบที่ง่ายที่สุดก็คือลองไปในที่ที่เราไม่เคยไปเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น ปกติดูแต่หนังโรแมนติค ก็อาจเปลี่ยนมาเป็นแนวแฟนตาซีบ้าง ปกติชอบไปแต่ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ ลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์มาเป็นเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ ปกติชอบเที่ยวกลางคืนลองเปลี่ยนมาเที่ยวกลางวันดู วัดวาอารามโบราณสถานต่างๆ ปกติชอบขับรถลองเปลี่ยนมาเดิน มาขึ้นรถสาธารณะ การที่เราหาอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอมันจะช่วยให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่กว้างขึ้น
3. ปิดตาและฟังเสียงรอบๆ ตัวคุณ
ลองหยุดแล้วฟังเสียงธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวคุณอยู่ เสียงไก่ขัน เสียงนก หรือแม้แต่เสียงใบไม้ที่สั่นไหวเพราะแรงลม แล้วลองเปรียบเทียบดูว่าเสียงจากธรรมชาตินั้นมันให้ความรู้สึกและมีความแตกต่างจากเสียงในสังคมเมืองยังไง เสียงรถราข้างถนน เสียงคนข้างห้อง เสียงคนประชุมงาน คุยกับลูกค้า ความวุ่นวายในสำนักงาน ลองหลับตาแล้วฟังเสียงธรรมชาติดู ถ้าหากคุณยังไม่เคยทำ แนะนำให้ลองทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เพราะคุณจะค้นพบอะไรบางอย่างที่แตกต่าง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของไอเดียดีๆ ที่ครีเอทีฟหลายคนชอบใช้กันค่ะ
4. สังเกตและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนรอบๆ ตัวคุณ
หากเรามีโอกาสที่ต้องพบปะผู้คนอยู่บ่อยๆ ไม่จะเป็นทั้งเรื่องของงานหรือเรื่องส่วนตัว อย่าลืมที่จะใส่ใจคู่สนทนา ลองสังเกตความคิดของพวกเขา พฤติกรรม และการแสดงออก เพราะสิ่งเหล่านี่จะช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของผู้อื่น และสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นได้ด้วย การฟังเรื่องราวจากผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่เสียเวลา เพราะมันจะช่วยให้ได้เรียนรู้จากการกระทำของพวกเขาและนำมาปรับใช้กับตัวเราเอง การที่เราเรียนรู้วิธีการมากมายและประสบการณ์ที่มากมายจากผู้อื่นนั้นจะทำให้ศักยภาพในตัวเราก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็วในแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยค่ะ
5. ท้าทายตัวเองด้วยการทำในสิ่งใหม่ๆ
ลองมองหาสิ่งใหม่ๆ ทำ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ยากมากมายเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ หากปกติเราเป็นคนไม่ค่อยวางแผนชีวิต ไม่เคยคิดว่าวันพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง ลองเปลี่ยนมาวางแผนดูว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร วันต่อไปต้องทำอะไร หรือแม้แต่การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชุมชนก็ทำให้คุณสามารถค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือหากคุณตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่าง คุณต้องทำทุกอย่างนั้นให้สำเร็จ การฝึกฝนตัวเองแบบนี้จะช่วยให้เรามีความคิดริเริ่ม เป็นนักคิด และกลายเป็นคนที่มีศักยภาพในที่สุด
6. สังเกตผู้คนที่เราไม่รู้จัก
ลองไปอยู่ในที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า แล้วลองสังเกตดูว่าผู้คนรอบตัวของเรานั้นกำลังทำอะไรอยู่ ช่วงนี้ผู้คนส่วนใหญ่ชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน วัยรุ่นทำอะไรบ้างในห้างสรรพสินค้า วัยทำงานชอบทานอาหารที่ร้านไหน มีอะไรใหม่ๆ บ้างที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน ลองจดรายละเอียดเหล่านั้นแล้วนำมาคิดดูว่า สิ่งเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วคุณจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมันมาก่อนเลย
7. ดื่มด่ำไปกับภาพยนตร์และเสียงเพลง
ในขณะที่เราดูภาพยนตร์หรือฟังเพลง อาจมีหลายครั้งที่เราเสียสมาธิไปกับสิ่งอื่นๆ ยิ่งถ้าเราไม่ได้อยู่ในโรงภาพยนตร์ โอกาสที่เราจะเสียสมาธิกับการดูหนังนั้นง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นคนโทรเข้า เสียงจากภายนอก หรือแม้แต่ไลน์ในสมาร์ทโฟนที่ดังขึ้นมา ยิ่งการฟังเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย บางคนฟังเพลงเพื่อฆ่าเวลา ฟังระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้ทำให้เราพลาดสิ่งดีดีไปโดยที่เราไม่คาดคิดเลย เพราะทุกครั้งในการทำภาพยนตร์หรือเพลงสักเพลง ผู้กำกับ นักแต่งเพลง นักดนตรีมักจะใส่ความพิเศษบางอย่างลงไปในเรื่องราวและเพลงที่พวกเขาแต่งเสมอ การที่คุรไม่ได้ตั้งใจกับสิ่งเหล่านั้นอย่างมีสมาธิจะทำให้คุณพลาดสิ่งสำคัญที่อยู่ในนั้นไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น ลองหาเวลาว่างๆ ไล่เก็บหนังเก่าๆ ที่เราเคยดูแบบผ่านๆ และเพลงที่เราเคยฟังแบบผิวเผิน มาตั้งสมาธิกับมันแล้วลองหา “สิ่งพิเศษ” ที่พวกเขาต้องการจะบอกกับคุณ
8. หลงทาง
อ่านไม่ผิดค่ะ เราเขียนว่าหลงทางจริงๆ เพราะการหลงทางจะช่วยให้คุณค้นพบเส้นทางใหม่ๆ สถานที่ที่คุณไม่เคยไป (หรือแม้แต่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่) ถนนที่ไม่เคยผ่าน หากคุณมีเวลาว่าง ลองทำดูค่ะ คุณอาจจะค้นพบร้านกาแฟ หรือร้านอาหารที่คุณไม่เคยเห็น และแตกต่างจากสิ่งเดิมๆที่คุณเห็นอยู่ทุกวัน คุณจะกลายเป็นคนที่ใส่ใจในสิ่งรอบตัวมากขึ้นเมื่อคุณได้ค้นพบถนนหรือแม้แต่ซอกซอยใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่รอบตัวคุณ
9. วิเคราะห์สิ่งที่คุณเห็น สิ่งที่คุณอ่าน และตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น
หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ และทำตามได้มาถึงตรงจุดนี้ นั่นแสดงว่าคุณได้กลายเป็นคนที่มีศักยภาพมากกว่าเดิมแล้วอย่างแน่นอน ถ้าคุณมีอยู่แล้ว มันจะมากขึ้นไปอีก และวิธีการนี้จะช่วยให้คุณดึงความเก่งและความสามารถในตัวคุณออกมาใช้ได้อย่างไม่หยุดยั้งเลยด้วยการตั้งคำถาม…นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลกด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมแอปเปิ้ลถึงตกลงมา” ดังนั้นลองเริ่มต้นตั้งคำถามในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ลิสต์ไว้เลยค่ะ แล้วมานั่งหาคำตอบทีละข้อ ขอให้พยายามทำด้วยตัวเอง ไม่แน่ว่าในอนาคต คุณอาจจะกลายเป็นคนยิ่งใหญ่กว่านิวตันเสียอีก
10. ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยทักษะที่คุณมี
จาก 9 ข้อที่เล่ามาทั้งหมด ลองลงมือทำดูโดยอาศัยจากสิ่งเดิมที่คุณมีไปพร้อมๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเห็นเด็กสักคนอ่านหนังสือไม่ออก สะกดคำไม่ได้ คุณอาจจะลองเข้าไปสังเกตและช่วยเหลือดู ไปช่วยพวกเขาแก้ปัญหา ลองเอาทักษะต่างๆที่คุณมีไปช่วยผู้อื่นแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไอที ไฟฟ้า รถยนต์ การสื่อสาร การคำนวน ภาษา และอื่นๆ ด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้คุณเป็นมากกว่าคนที่มีศักยภาพ แต่มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ช่วยสร้างศักยภาพให้คนอื่นได้อีกด้วย และเมื่อคุณทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เชื่อได้เลยว่า มันจะไม่มีอุปสรรคใดใดที่จะมาหยุดยั้งความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้อีกต่อไปค่ะ
------------------------------------------------
ที่มา : taladpanya.com
------------------------------------------------
ที่มา : taladpanya.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น