ความคิดที่คอยขัดขวางทาง "ความรวย" - BeeLoSoPhy

BeeLoSoPhy

ไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยว ออกกำลังกาย ครอบครัว สุขภาพ

15 กันยายน 2559

ความคิดที่คอยขัดขวางทาง "ความรวย"



มาเช็คตัวเองกันเถอะ…คุณมีความคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า?
สิ่งที่อยู่กับคนเราตลอดเวลา คือ “ความคิด” เราคิดอย่างไร ชีวิตเราก็จะปรากฎออกมาอย่างนั้น ถ้าเราคิดลบ ก็จะเจอแต่คนลบ ๆ สถานการณ์ที่ลบ ๆ หากเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย ทุกอย่างที่ทำก็จะได้ผลบวกเหมือนกับความคิด มันเป็นเรื่องของกลไกจิตใต้สำนึกที่ผลักดันให้เรากระทำในแบบที่เราคิด
เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เช่นกัน คุณอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า บางคนทำงานแทบตายแต่ไม่รวย เพราะเอาแต่คิดตลอดว่ายังไงเราก็ไม่รวย มองกลับกัน คนที่คิดว่าตัวเองจะต้องรวยให้ได้ ก็ร่ำรวยได้จริง ๆ อยากจะขอชวนให้คุณมาเช็คความคิดของตัวเอง ว่าคุณมีนิสัยเหล่านี้บ้างหรือเปล่า? แล้วลองปรับเปลี่ยน ก่อนที่ความคิดเหล่านั้นจะไปขวางเส้นทางความรวยของคุณ!

1. ความคิดที่ว่า :  คนรวยนั่นก็เพราะ “เขาโชคดี”
อย่าลืมว่าคนที่รวย ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ถ้าคุณจะเถียงว่าดูคนที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 สิ ก็ให้ลองสังเกตว่าคนที่ถูกหวยหลายคน มักจะกลับมายากจนในเวลาไม่นาน นั่นเพราะเขาขาดสิ่งสำคัญ คือ ความรู้ในการบริหารจัดการเงินของตนเอง ลองเริ่มสังเกตตนเองว่า เมื่อได้รับเงินเดือนมาเราบริหารจัดการเงินได้ดีขนาดไหน หากไม่มีเหลือเก็บออมได้ ก็ไม่ต้องคิดถึงการมีเงินจำนวนมาก เพราะถึงมีมาก เราก็บริหารเงินไม่ได้อยู่ดี
2. ความคิดที่ว่า : เก็บเงินเหรอ? เดี๋ยวค่อยเก็บก็ได้
‘เริ่มออมเงินที่อายุเท่าไหร่ดีที่สุด?’ เมื่อถามคำถามนี้กับหลายๆคน ทุกคนต่างก็รู้คำตอบดีว่า ยิ่งเริ่มออมเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่กลับมีคนเพียงจำนวนนิดเดียวเท่านั้นที่ทำได้จริง เพราะคิดว่าตอนนี้ยังอายุไม่มาก ขอใช้เงินเพื่อเที่ยวก่อน เดี๋ยวค่อยออมเงิน สรุปว่ากว่าจะเริ่มออมเงินก็อายุมากพอสมควรแล้ว แถมยังออมเงินได้น้อยกว่าที่ควร ทำให้ไม่มีเงินหลังเกษียณ
3. ความคิดที่ว่า : เงินคือเป้าหมายเหนือทุกสิ่ง
‘เป้าหมายของการเก็บเงินคืออะไร?’ ถ้าคำตอบของคุณคือ ‘มีเงินเยอะๆ’ ล่ะก็ รับรองได้ว่า สถานะทางการเงินของคุณในอนาคตมีปัญหาแน่ เพราะอะไรน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะคนรวยหรือคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน จะเห็นเงินเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเท่านั้น แต่เงินไม่ใช่เป้าหมายชีวิต การคิดว่าเงินคือเครื่องมือนั้นช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ใช้อารมณ์ด้านลบ เช่น ความกลัวหรือความเครียดเลย ทำให้การตัดสินนั้นเป็นเหตุเป็นผลและยังมีความถูกต้องชัดเจนอีกด้วย
4. ความคิดที่ว่า : แค่มีเงินมากๆก็รวยแล้ว
อะไรคือคำตอบของความมั่งคั่ง? ถ้าคุณไม่มีคำตอบ นั่นไม่อาจทำให้คุณร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เพราะแม้คุณจะเก็บเงินแต่กลับไม่มีจุดหมายในหัวอย่างชัดเจน นั่นจะทำให้คุณเก็บเงินได้ไม่นาน แล้วก็จะล้มเลิกในที่สุด แต่หากเราบอกได้ว่า ความมั่งคั่งของเรา คือ การมีบ้านสักหลัง, มีเงินใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสนหลังเกษียณ หรือมีเงินและเวลามากพอที่จะใช้เลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบโต นั่นทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จอีกขั้นแล้ว
5. ความคิดที่ว่า : โปะบัตรนั้นด้วยบัตรนี้คือทางออก
เมื่อเราอยู่ในยุคที่ทุกสิ่งยิ่งเร็วยิ่งดี ทำให้คนจำนวนมากไม่อยากรอคอยเพื่อเก็บเงินซื้อของที่ตนเองอยากได้อีกต่อไป เราหันไปพึ่งบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่างๆเพิ่มมากขึ้น ใช้บัตรนั้นปิดบัตรนี้และทำให้หนี้เพิ่มขนาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทางออก คือ ก่อนซื้อของทุกครั้งให้คิดว่า ‘เงินสดคือที่สุด’ หากเราไม่มีเงินสดมากพอที่จะจ่ายนั่นหมายความว่าเราไม่คู่ควรกับของสิ่งนั้น เมื่อคิดแบบนี้จะทำให้เราไม่ใช้บัตรเครดิตเมื่อไม่จำเป็น และไม่ช่วยก่อหนี้โดยไม่เกิดประโยชน์ด้วย
6. ความคิดที่ว่า : แค่เอาเงินไปวางในอะไรซักอย่างก็จะได้ “กำไร” เอง
ที่คนจำนวนมาก ‘ไม่’ ประสบความสำเร็จด้านการเงิน นั่นเพราะไม่เข้าใจว่าความมั่งคั่งนั้นต้องใช้เวลาในการสร้างขึ้นมา อาจจะหลายปี หรืออาจจะเป็นสิบๆ ปี แต่กลับพยายามหาทางลัดเพื่อนำไปสู่ความร่ำรวยให้ได้เร็วที่สุด
7. ความคิดที่ว่า : ทุ่มสุดตัวกับสิ่งที่เรียกว่า “หวย”
หวยคือหนึ่งในความเชื่อของคน(อยาก)รวย เชื่อว่าเป็นทางออกสำหรับความขัดสนของตนเอง ทำให้เงินจำนวนมากหมดไปกับการซื้อหวย ลองคิดง่ายๆว่าถ้าเราซื้อหวยทุกเดือน โดยซื้อ 1 งวดราคา 400 บาท เท่ากับเราซื้อหวยเดือนละ 800 บาทต่อเดือน หรือปีละ 9,600 บาท!!! ซึ่งหากนำเงินจำนวนนี้มาออม แต่หากนำเงินจำนวนนี้มาออมแทนก็สามารถนำเงินไปลงทุนหรือใช้สำหรับการวางแผนการเงินในอนาคตได้เลยทีเดียว
8. ความคิดที่ว่า : ซื้อของเพราะถูกใจใช่เลย
เจอของถูกใจ ไม่ซื้อไว้ไม่ได้แล้ว!!! หากคุณคิดแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมทุกสิ้นเดือนเงินหายไปไหน การซื้อของนั้นควรเน้นของที่จำเป็นมากกว่าของที่เราอยากได้เฉยๆ ถ้ามีของแบบเดียวกันก็ลองเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ แต่ถ้าอยากได้จริงๆให้ใช้ ‘กฏ 30 วัน’ โดยให้นับไปอีก 30 วันจากวันที่เราเห็นสินค้าชนิดนี้ เมื่อครบกำหนดแล้วแต่เรายังอยากได้ของชิ้นนี้อยู่ค่อยซื้อ (แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ซื้อนะ)
9. ความคิดที่ว่า : งานที่ทำก็มั่นคงอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก
แม้ว่างานที่คุณทำอยู่จะได้เงินเดือนมาก แต่อะไรก็ไม่แน่นอน หากวันใดวันหนึ่งถูกเลิกจ้างหรือเกิดเหตุการณืไม่คาดคิดที่ทำให้เราต้องออกจากงานหรือทำงานต่อไปไม่ได้ แสดงว่ารายได้ทางเดียวที่ได้รับมานั้นต้องหายไปทั้งหมด และถึงแม้รายได้จะไม่มีแต่รายจ่ายนั้นยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสร้างรายได้หลายทางคือการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ และยังช่วยเพิ่มความเร็วให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินของตนเองด้วย
10. ความคิดที่ว่า : มองหาแต่งานที่ทำเงินได้มากๆ
กาเลือกงานให้เหมาะสมกับความสามารถนั้นเป็นเรื่องดี แต่การเลือกงานเฉพาะที่มีรายได้สูงๆนั้นไม่ใช่หนทางสู่ความร่ำรวย คนรวยทำงานหลายอย่างไม่ว่างานนั้นจะมีสร้างรายได้หรือไม่ก็ตาม นั่นก็เพื่อที่จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ทำและเพิ่มความชำนาญที่สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต ดังนั้นการทำงานหนักและได้เงินไม่มากจะเป็นงานที่ช่วยสร้างประสบการณืที่จำเป็นในอนาคตได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย
11. ความคิดที่ว่า : เชื่อกูรูสิไม่มีผิดหวัง
ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แน่นอนว่าคนที่ต้องการลงทุนต้องศึกษาว่าตนเองยอมรับความเสี่ยงในระดับนี้ได้หรือไม่ หากยอมรับได้และลงทุนอย่างต่อเนื่องย่อมทำให้การลงทุนงอกเงย แต่นักลงทุนหลายคนเลือกที่จะข้ามขั้นตอนนี้ไป แต่กลับเชื่อทุกคำที่กูรูหรือโบรคเกอร์บอก เช่นหุ้นนี้ดีให้ซื้อ หรือตอนนี้ควรลงทุนในสินทรัพย์สักอย่างจะได้มีผลตอบแทนสูงๆ หากคุณเชื่อและทำตามทุกอย่างที่กูรูบอกโดยไม่ลองคิดถึงข้อดีข้อเสียด้วยตนเอง อาจทำให้ขาดทุนแทนได้กำไรก็ได้

การเงินนั้นสิ่งสำคัญ คือ การศึกษาความรู้ด้านการเงินและทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีวินัยอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจสอบสถานภาพทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้คุณก็ไม่ถอยหลังเข้าคลอง แต่จะก้าวต่อไปจนบรรลุเป้าหมายของตนเองได้อย่างแน่นอน

---------------------------------------
ที่มา :  Aommoney

หากชอบ และถูกใจ  ก็กดแชร์แบ่งปันกันไปน้า ^^   ↓↓↓↓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น