9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ…รู้อย่างนี้ทำไปนานแล้ว - BeeLoSoPhy

BeeLoSoPhy

ไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยว ออกกำลังกาย ครอบครัว สุขภาพ

17 พฤษภาคม 2559

9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ…รู้อย่างนี้ทำไปนานแล้ว

                        
รถติด งานล้น ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา

                สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิศอย่างเราๆ หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที และด้วยเหตุที่ครึ่งค่อนชีวิตของเราๆ ท่านๆ ต้องอยู่กับงาน  จึงไม่รอช้าที่จะชวนมาฝึกเทคนิคเรียกสติ ให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน
                เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

1.“ไฟแดง” ไฟแห่งสติ : สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมาเห็นจะเป็นการจราจรที่แสนติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มักหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน” ทางออกก็คือ ต้อง“เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู
ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเองพร้อมทั้งดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว

2.ตั้งจิตอธิษฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน : เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลนแต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมนำมาปฏิบัติ เช่น เมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้จะขอตั้งใจทำงานด้วยความเพียรการตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความรีบเร่งที่จะมาบั่นทอนจิตใจในการทำงานนั่นเอง

3.ล้างจานเพื่อล้างจาน ทำงานก็เพื่อทำงานนั่นแหละ: การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงานได้เช่นกัน เพราะการเจริญสติในที่ทำงานหมายถึงการดึงจิตให้อยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆ ไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลาย โปร่งเบา เพราะจิตใจไม่มี “ขยะ” ให้ต้องแบกรับ

4.ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์ : เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาอีกครั้ง (แม้จะไม่ใช่คนเดิมก็ตาม) คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆ อาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าดีๆ ไปโดยไม่ได้คาดคิด
ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละเป็นเครื่องมือเรียกสติ โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆ ตามลมหายใจเข้า – ออกช้าๆ 3 ครั้งเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่งบางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริมอย่างเช่นกระจกบานเล็กๆ วางใกล้ๆ โทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆ ไปด้วย การมองตัวเองในกระจกช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว

5.เจริญสติด้วยคำวิจารณ์ : การทำงานกับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งคู่กัน แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เราเอาปัญญาออกหน้า หรือเอาอัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้าจะเกิดคำถามในใจว่า “ฉันผิดพลาดตรงไหน” แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ “แกทำให้ฉันเสียหน้า”
สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึง เหมือนอย่างที่ คุณเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นอัปมงคล” เพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัวซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด

6.เจริญสติด้วยคำนินทา : หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไรก็แก้ไม่ตก นั่นก็คือ คำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำให้หลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆ กัน ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน “จิตตก” ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลชะงัดคือ การมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่าที่เขานินทาคือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง
เวลาที่ได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริงก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาที่ไม่เป็นความจริง





7.สร้างทางเดินแห่งสติ : ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆ เพียงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป!

8.พักยกด้วยระฆังแห่งสติ : สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย ระฆังแห่งสตินี้อาจใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง หรือถ้าจะง่ายกว่านั้น เพียงคลิกเข้าไปที่ www.thaiplumvillage.org คุณก็จะสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเสียงระฆังแห่งสติได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จะตั้งให้เตือนทุก 15 นาทีหรือทุกชั่วโมงก็ได้ เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้วให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว

9.ซ้อม “สอบ” ในที่ทำงาน : จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉาริษยา แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราไปเสียหมด ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงานคือบททดสอบที่ดียิ่งใน “วิชาสติ” ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้เพื่อดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป

                คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับการทำงานก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว











ที่มา :   Secret Magazine (Thailand)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น